บทที่ 1



บทที่ 1



ระดับชั้น ม.๑

1.การสร้างคำโดยใช้คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำซ้ำ และคำซ้อน

           การสร้างคำในภาษาไทย
           คำที่ใช้ในภาษาไทยดั้งเดิม ส่วนมากจะเป็นคำพยางค์เดียว เช่น พี่น้อง เดือนดาว จอบไถ หมูหมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นต้น เมื่อโลกวิวัฒนาการ มีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มขึ้น ภาษาไทยก็จะต้องพัฒนาทั้งรูปคำและการเพิ่มจำนวนคำ เพื่อให้มีคำใช้ในการสื่อสารให้เพียงพอ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุสิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้างคำ ยืมคำและเปลี่ยนแปลงรูปคำซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้

           แบบสร้างคำ
           แบบสร้างคำ คือ วิธีการนำอักษรมาประสมเป็นคำเกิดความหมายและเสียงของแต่ละ พยางค์ ใน ๑ คำ จะต้องมีส่วนประกอบ ๓ ส่วน เป็นอย่างน้อย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ อย่างมากไม่เกิน ๕ ส่วน คือ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ตัวการันต์

           รูปแบบของคำ
           คำไทยที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีทั้งคำที่เป็นคำไทยดั้งเดิม คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ คำศัพท์เฉพาะทางวิชาการคำที่ใช้เฉพาะในภาษาพูด คำชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะ และแบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำพ้องรูป คำพ้องเสียง คำเหล่านี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้เรียนจะเข้าใจลักษณะแตกต่างของคำเหล่านี้ได้จากแบบสร้างของคำ

           ความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ     
           1. คำมูล

           คำมูล คือ คำ ๆ เดียวที่มิได้ประสมกับคำอื่น อาจมี ๑ พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ได้ แต่่เมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่มี
ความหมาย คำภาษาไทยที่ใช้มาแต่เดิมส่วนใหญ่ เป็นคำมูลที่มีพยางค์เดียวโดด ๆ เช่น พ่อ แม่ กิน เดิน
            ตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล 
         คนมี ๑ พยางค์ คือ คน
         สิงโตมี ๒ พยางค์ คือ สิง + โต
         นาฬิกามี ๓ พยางค์ คือ นา + ฬิ + กา
         ทะมัดทะแมงมี ๔ พยางค์ คือ ทะ + มัด + ทะ + แมง
         กระเหี้ยนกระหือรือมี ๕ พยางค์ คือ กระ + เหี้ยน + กระ + หือ + รือ
          จากตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล จะเห็นว่าเมื่อแยกพยางค์จากคำแล้ว แต่ละพยางค์ไม่มีความหมายในตัวหรืออาจมีความหมายไม่ครบทุกพยางค์ คำเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำทุกพยางค์มารวมเป็นคำ ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นคำเดียว
โดด ๆ 


           2. คำประสม
           คำประสม คือ คำที่สร้างขึ้นใหม่โดยนำคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเป็นคำใหม่ขึ้นอีกคำหนึ่ง
               ๑. เกิดความหมายใหม่
               ๒. ความหมายคงเดิม
               ๓. ให้ความหมายกระชับขึ้น
           ตัวอย่างแบบสร้างคำประสม 
         แม่ยายเกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ แม่ + ยาย
         ลูกน้ำเกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ ลูก + น้ำ
         ภาพยนตร์จีนเกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ ภาพยนตร์ + จีน
          จากตัวอย่างแบบสร้างคำประสม จะเห็นว่าเมื่อแยกคำประสมออกจากกัน จะได้คำมูลซึ่งแต่ละคำมีความหมายในตัวเอง
          ชนิดของคำประสม
          การนำคำมูลมาประสมกัน เพื่อให้เกิดคำใหม่ขึ้นเรียกว่า “คำประสม” นั้น มีวิธีสร้างคำตามแบบสร้าง อยู่ ๕ วิธีด้วยกัน คือ
         ๑.คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันเกิดเป็นความหมายใหม่ ไม่ตรงกับความหมายเดิม เช่น 
           แม่หมายถึงหญิงที่ให้กำเนิดลูก
           ยายหมายถึงแม่ของแม่
           แม่ + ยาย  ได้คำใหม่ คือ แม่ยายหมายถึงแม่ของเมีย
คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น แม่ครัว ลูกเรือ พ่อตา มือลิง ลูกน้ำ ลูกน้อง ปากกา
         ๒.คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันแล้วเกิด ความหมายใหม่แต่ยังคงรักษาความหมายของคำเดิมแต่ละคำได้ เช่น 
           หมอหมายถึงผู้รู้ ผู้ชำนาญ ผู้รักษาโรค
           ดูหมายถึงใช้สายตาเพื่อให้เห็น
    หมอ + ดู ได้คำใหม่ คือ หมอดูหมายถึงผู้ทำนายโชคชะตาราศี คำประสมชนิดนี้
เช่น หมอความ นักเรียน ชาวนา ของกิน ช่างแท่น ร้อนใจ เป็นต้น
         ๓.คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง ความหมายเหมือนกัน เมื่อประสมแล้วเกิดความหมายต่างจากความหมายเดิมเล็กน้อย อาจมีความหมายทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ การเขียนคำประสมแบบนี้จะใช้ ไม้ยมก (ๆ) เติมข้างหลัง เช่น
           เร็วหมายถึงรีบ ด่วน
           เร็ว ๆหมายถึงรีบ ด่วนยิ่งขึ้น เป็นความหมายที่เพิ่มขึ้น
           ดำหมายถึงสีดำ
           ดำ ๆหมายถึงดำไม่สนิท เป็นความหมายในทางลดลง คำประสมชนิดนี้ เช่น
ช้า ๆ  ซ้ำ ๆ ดี ๆ น้อย ๆ ไป ๆ มา ๆ เป็นต้น
         ๔.คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูปและเสียงต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน เมื่อนำมาประสมกันแล้วความหมายไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น 
           ยิ้มหมายถึงแสดงให้ปรากฏว่าชอบใจ
           แย้มหมายถึงคลี่ เผยอปากแสดงความพอใจ
         ยิ้ม + แย้ม ได้คำใหม่ คือ ยิ้มแย้ม หมายถึง ยิ้มอย่างชื่นบาน คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น โกรธเคือง รวดเร็ว แจ่มใส เสื่อสาด บ้านเรือน วัดวาอาราม ถนนหนทาง เป็นต้น
         ๕.คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อนำมาประสมจะตัดพยางค์หรือย่นพยางค์ให้สั้นเข้า เช่น 
คำว่า ชันษา มาจากคำว่า ชนม+พรรษา 
           ชนมหมายถึงการเกิด
           พรรษาหมายถึงปี
           ชนม + พรรษา ได้คำใหม่ คือ ชันษาหมายถึงอายุ คำประสมประเภทนี้   ได้แก่
           เดียงสามาจากเดียง+ภาษา
           สถาผลมาจากสถาพร+ผล
           เปรมปรีดิ์มาจากเปรม+ปรีดา





ข้อ
มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
ท1.1
ท2.1
ท3.1
ท4.1
ท5.1
1
2
4
5
7
8
3
6
1
2
3
4
5
6
1
2
3
4
1


ü















2



ü














3


ü















4




ü













5




ü













6









ü








7









ü








8










ü







9








ü









10








ü









11








ü









12








ü









13








ü









14








ü









15
ü

















16









ü








17









ü








18










ü







19










ü







20










ü







21






ü











22







ü










23










ü








ข้อสอบมาตรฐานปลายภาค/รายปี    ชุดที่ 1               กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
วิชาภาษาไทย                                                   ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1               จำนวน  60  ข้อ

คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด หรือเหมาะสมที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1.       การเลือกเขียนเรียงความควรใช้หลักอย่างไร
      ก.  เลือกเรื่องที่เคยเขียนมาก่อน
      ข.  เลือกเรื่องที่มีความรู้มากที่สุด
      ค.  เลือกเรื่องเกี่ยวกับตัวผู้เขียน
      ง.  เลือกเรื่องที่ใช้โวหารได้หลากหลาย
2.       ในการเขียนย่อความมีลำดับขั้นตอนอย่างไร
1) จับใจความสำคัญแต่ละย่อหน้า
2) ใจความที่ย่อแล้วให้เขียนติดต่อกันเป็นย่อหน้าเดียว
3) นำใจความสำคัญแต่ละย่อหน้ามาเรียบเรียงใหม่
4) อ่านข้อความนั้นให้เข้าใจแจ่มแจ้งเสียก่อน
      ก.  1) 3) 2) 4)                                         ข.  4) 3) 2) 1)
      ค.  4) 1) 3) 2)                                         ง.  1) 4) 2) 3)
3.       ข้อความต่อไปนี้ควรเขียนเรียงลำดับความอย่างไร
1) ถือเป็นการทิ้งโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
2) ใครไม่ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติในตอนเช้า
3) ธรรมชาติในตอนเช้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้มาโดยไม่ต้องซื้อหา
4) ฉะนั้นจึงขอขอบคุณธรรมชาติที่มีค่าแก่มนุษย์
      ก.  3) 2) 1) 4)                                         ข.  1) 2) 4) 3)
      ค.  3) 4) 2) 1)                                         ง.  3) 1) 4) 2)
4.       การลงวันที่ในจดหมาย ข้อใดถูกต้องที่สุด
      ก.  1 ม.ค. 53                                                  ข.  1 ม.ค. 2553
      ค.  1 มกราคม 2553                                         ง.  1 มกราคม พ.ศ. 2553
5.       ถ้านักเรียนเขียนจดหมายถึงพระภิกษุ นักเรียนควรเขียนคำขึ้นต้น ลงท้าย อย่างไร
      ก.  กราบทูล...       ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด            ข.  เรียน...       ขอแสดงความนับถือ
      ค.  กราบเรียน...    ขอแสดงความเคารพอย่างสูง        ง.  นมัสการ...  ขอนมัสการด้วยความเคารพ

6.       ข้อใดเป็นคำมูลทุกคำ
      ก.  ประธาน   สกุณา   พสุธา                            ข.  น้ำ    จรลี      ผลัดเวร
      ค.  อ้อยควั่น   วารี       ลูกเสือ                           ง.  ประโยชน์      เสนา     ผัดไทย
7.       ข้อใดเป็นคำประสมทุกคำ
      ก.  กระเป๋า   รถประจำทาง  แกงส้ม                   ข.  ความรัก    เงินเดือน      เครื่องบิน
      ค.  เก้าอี้    ชุดนักเรียน    เปรี้ยวหวาน                 ง.  รถไฟ    ปฏิทิน     ดินสอ
8.       เนื้อความในข้อใดมิใช่กลุ่มคำ
      ก.  สิกขิมรัฐเล็กที่สุด                                        ข.  อาณาจักรแห่งขุนเขา
      ค.  ดินแดนศักดิ์สิทธิ์                                        ง.  หิมะปกคลุมตลอดเส้นทาง
9.       คำในข้อใดมีเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียงควบกล้ำทุกคำ
      ก.  พลัง    เพลิง    ควัน                                     ข.  เจริญ    ความ   ขวนขวาย
      ค.  กลาโหม   ขอบ    เพลิน                              ง.  กราบ    ครัว     กว้าง
10.   คำในข้อใดมีเสียงพยัญชนะท้ายเหมือนกัน
      ก.  สวย   เลย     จิต                                        ข.  กฎ    ยุทธ     มิตร
      ค.  บิน   อรุณ   แล้ว                                        ง.  ดาว    เร็ว      ถวิล
11.    “ ในข้อใดออกเสียง ทั้ง 2 คำ
      ก.  กุณฑล    มณฑา                                         ข.  ขัณฑสกร   ขัณฑสีมา
      ค.  บัณฑิต   บัณเฑาะว์                                    ง.  จัณฑาล     บัณฑูร
12.    “ทร ในข้อใดออกเสียงควบแท้
      ก.  ไทร                                                          ข.  เทริด
      ค.  นิทรา                                                       ง.  มัทรี
13.   คำในข้อใดออกเสียง 2 พยางค์
      ก.  สวรรคต                                                    ข.  อัฒจันทร์
      ค.  อาชญา                                                     ง.  คุณวุฒิ
14.   คำในข้อใดเขียนไม่ถูกต้อง
      ก.  กากบาท   บันเทิง    กะทันหัน                    ข.  บาดทะยัก   เบญจเพส   วิ่งเปรี้ยว
      ค.  เสื้อเชิ้ต   ทแยง กะทัดรัด                            ง.  อาพาธ    แสตมป์     สังเกต



15.   คำในข้อใดอ่านไม่ถูก
      ก.  กาลเวลา           อ่านว่า     กาน เว ลา          
      ข.  กาลสมัย           อ่านว่า     กา ละ สะ ไหม
      ค.  ฉัตรมงคล         อ่านว่า     ฉัด ตระ มง คล
      ง.  ประวัติศาสตร์    อ่านว่า     ประ หวัด สาด
16.   คำซ้ำในข้อใดมีความหมายจางลง
      ก.  ดำ                                                            ข.  ดำๆ
      ค.  ด๊ำ ดำ                                                       ง.  ดำ ด๊ำ ดำ
17.   คำในข้อใดมิใช่คำซ้อน
      ก.  ยากแค้น   สิ้นสุด                                       ข.  เดินตาม     ไปได้
      ค.  ค้นคว้า   วุ่นวาย                                         ง.  สับสน        เลือกสรร
18.   เนื้อความในข้อใดเป็นคำนามทุกคำ
      ก.  ถนนลื่น                                                    ข.  บันไดเลื่อน
      ค.  ทางม้าลาย                                                 ง.  ท่องเที่ยว
19.   คำในข้อใดใช้ลักษณะนามไม่ถูกต้อง
      ก.  นาฬิกา เรือน , มุ้ง หลัง                          ข.  เข็ม เล่ม , ไม้บรรทัด อัน
      ค.  ชอล์ก แท่ง , ปากกา ด้าม                        ง.  พระภิกษุ คน , กระดาษ - ใบ
20.   คำว่า ได้ ในข้อใดมิได้เป็นคำกริยา
      ก.  กิ้งก่าได้ทอง                                              ข.  วานรได้แก้ว
      ค.  ตาบอดได้แว่น                                            ง.  เขาสู้ได้
21.   การพูดในข้อใดเป็นการพูดเชิงสร้างสรรค์
      ก.  นิดคุยกับนุ้ยว่า “เราควรช่วยกันลดโลกร้อน”
      ข.  น้อยบอกหน่อยว่า “เธอสวมชุดนี้แล้วดูแก่”
            ค.  หนึ่งกล่าวว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
      ง.  น้ำสั่งเด็กนักเรียนว่า “ห้ามเดินลัดสนาม”
22.   ข้อใดเป็นการกระทำที่ผู้ฟังที่ดีไม่ควรกระทำในระหว่างที่ฟัง
      ก.  พยายามจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง          ข.  ฟังอย่างสงบ และมีสมาธิ
      ค.  พูดจาหยอกล้อส่งเสียงดัง                             ง.  จดบันทึกเนื้อความที่สำคัญ


23.   ดวงตา มีประโยชน์มหาศาล
คำว่า ดวงตา ทำหน้าที่ใดในประโยค
      ก.  ภาคประธาน                                              ข.  ภาคแสดง
            ค.  ส่วนขยาย      ง.  กรรม









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น