บทที่ 2
3. คำสมาส
คำสมาส เป็นวิธีสร้างคำในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประกอบกันคล้ายคำประสม แต่คำที่นำมาประกอบแบบคำสมาสนั้น นำมาประกอบหน้าศัพท์ การแปลคำสมาสจึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น
การนำคำมาสมาสกัน อาจเป็นคำบาลีสมาสกับบาลี สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลี สมาสกับสันสกฤตก็ได้ในบางครั้ง คำประสมที่เกิดจากคำไทยประสมกับคำบาลีหรือคำสันสกฤตบางคำ มีลักษณะคล้ายคำสมาสเพราะแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น ราชวัง แปลว่า วังของพระราชา อาจจัดว่าเป็นคำสมาสได้ ส่วนคำประสมที่มีความหมายจากข้างหน้าไปข้างหลังและมิได้ทำให้ ความหมาย ผิดแผกแม้คำนั้นประสมกับคำบาลีหรือสันสกฤตก็ถือว่าเป็นคำประสม เช่น มูลค่า ทรัพย์สิน เป็นต้น
คำสมาส เป็นวิธีสร้างคำในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประกอบกันคล้ายคำประสม แต่คำที่นำมาประกอบแบบคำสมาสนั้น นำมาประกอบหน้าศัพท์ การแปลคำสมาสจึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น
บรม (ยิ่งใหญ่) + ครู | = | บรมครู (ครูผู้ยิ่งใหญ่) |
สุนทร (ไพเราะ) + พจน์ (คำพูด) | = | สุนทรพจน์ (คำพูดที่ไพเราะ) |
การเรียงคำตามแบบสร้างของคำสมาส
๑.ถ้าเป็นคำที่มาจากบาลีและสันสกฤต ให้เรียงบทขยายไว้ข้างหน้า เช่น
อุทกภัย หมายถึง ภัยจากน้ำ
อายุขัย หมายถึง สิ้นอายุ
๒.ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้าประวิสรรชนีย์ ให้ตัดวิสรรชนีย์ออก เช่น
ธุระ สมาสกับ กิจ เป็น ธุรกิจ
พละ สมาสกับ ศึกษา เป็น พลศึกษา
๓.ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้ามีตัวการันต์ให้ตัดการัตน์ออกเมื่อเข้าสมาส เช่น
ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทัศนศึกษา
แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม
๔.ถ้าคำซ้ำความ โดยคำหนึ่งไขความอีกคำหนึ่ง ไม่มีวิธีเรียงคำที่แน่นอน เช่น
นร (คน) สมาสกับ ชน (คน) เป็น นรชน (คน)
วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วิถีทาง (ทาง)
คช (ช้าง) สมาสกับ สาร (ช้าง) เป็น คชสาร (ช้าง)
๑.ถ้าเป็นคำที่มาจากบาลีและสันสกฤต ให้เรียงบทขยายไว้ข้างหน้า เช่น
อุทกภัย หมายถึง ภัยจากน้ำ
อายุขัย หมายถึง สิ้นอายุ
๒.ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้าประวิสรรชนีย์ ให้ตัดวิสรรชนีย์ออก เช่น
ธุระ สมาสกับ กิจ เป็น ธุรกิจ
พละ สมาสกับ ศึกษา เป็น พลศึกษา
๓.ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้ามีตัวการันต์ให้ตัดการัตน์ออกเมื่อเข้าสมาส เช่น
ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทัศนศึกษา
แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม
๔.ถ้าคำซ้ำความ โดยคำหนึ่งไขความอีกคำหนึ่ง ไม่มีวิธีเรียงคำที่แน่นอน เช่น
นร (คน) สมาสกับ ชน (คน) เป็น นรชน (คน)
วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วิถีทาง (ทาง)
คช (ช้าง) สมาสกับ สาร (ช้าง) เป็น คชสาร (ช้าง)
การอ่านคำสมาส
การอ่านคำสมาสมีหลักอยู่ว่า ถ้าพยางค์ท้ายของคำลงท้ายด้วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเข้าสมาสให้อ่านออกเสียง อะ อิ อุ นั้นเพียงครึ่งเสียง เช่น
*ข้อสังเกต
๑.มีคำไทยบางคำ ที่คำแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนคำหลังเป็นคำไทย คำเหล่านี้ ได้แปลความหมายตามกฎเกณฑ์ของคำสมาส แต่อ่านเหมือนกับว่าเป็นคำสมาส ทั้งนี้ เป็นการอ่านตามความนิยม เช่น
๒.โดยปกติการอ่านคำไทยที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ มักอ่านตรงตัว เช่น
แต่มีคำไทยบางคำที่เราอ่านออกเสียงตัวสะกดด้วย ทั้งที่เป็นคำไทยมิใช่คำสมาสซึ่งผู้เรียนจะต้องสังเกต เช่น
4. คำสนธิ
การสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเชื่อม อักษรให้ต่อเนื่องกันเพื่อตัดอักษรให้น้อยลง ทำให้คำพูดสละสลวย นำไปใช้ประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์
คำสนธิ เกิดจากการเชื่อมคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าคำที่นำมาเชื่อมกัน ไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ไม่ถือว่าเป็นสนธิ เช่น กระยาหาร มาจากคำ กระยา + อาหาร ไม่ใช่สนธิ เพราะ กระยาเป็นคำไทยและถึงแม้ว่าคำที่นำมารวมกันแต่ไม่ได้เชื่อมกัน เป็นเพียงประสมคำเท่านั้น ก็ไม่ถือว่าสนธิ เช่น
แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอยู่ ๓ ประเภท คือ
๑. สระสนธิ
๒. พยัญชนะสนธิ
๓. นิคหิตสนธิ
สำหรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ
การอ่านคำสมาสมีหลักอยู่ว่า ถ้าพยางค์ท้ายของคำลงท้ายด้วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเข้าสมาสให้อ่านออกเสียง อะ อิ อุ นั้นเพียงครึ่งเสียง เช่น
เกษตร | สมาสกับ | ศาสตร์ | เป็น | เกษตรศาสตร์ | อ่านว่า | กะ-เสด-สาด |
อุทก | สมาสกับ | ภัย | เป็น | อุทกภัย | อ่านว่า | อุ-ทก-กะ-ไพ |
ประวัติ | สมาสกับ | ศาสตร์ | เป็น | ประวัติศาสตร์ | อ่านว่า | ประ-หวัด-ติ-สาด |
ภูมิ | สมาสกับ | ภาค | เป็น | ภูมิภาค | อ่านว่า | พู-มิ-พาก |
เมรุ | สมาสกับ | มาศ | เป็น | เมรุมาศ | อ่านว่า | เม-รุ-มาด |
เชตุ | สมาสกับ | พน | เป็น | เชตุพน | อ่านว่า | เช-ตุ-พน |
๑.มีคำไทยบางคำ ที่คำแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนคำหลังเป็นคำไทย คำเหล่านี้ ได้แปลความหมายตามกฎเกณฑ์ของคำสมาส แต่อ่านเหมือนกับว่าเป็นคำสมาส ทั้งนี้ เป็นการอ่านตามความนิยม เช่น
เทพเจ้า | อ่านว่า | เทพ-พะ-เจ้า |
พลเรือน | อ่านว่า | พล-ละ-เรือน |
กรมวัง | อ่านว่า | กรม-มะ-วัง |
คำเหล่านี้ ผู้เรียนจะสามารถศึกษาพวกกฎเกณฑ์ได้ต่อเมื่อเรียนชั้นสูงขึ้น |
บากบั่น | อ่านว่า | บาก-บั่น |
ลุกลน | อ่านว่า | ลุก-ลน |
ตุ๊กตา | อ่านว่า | ตุ๊ก-กะ-ตา |
จักจั่น | อ่านว่า | จัก-กะ-จั่น |
จั๊กจี้ | อ่านว่า | จั๊ก-กะ-จี้ |
ชักเย่อ | อ่านว่า | ชัก-กะ-เย่อ |
สัปหงก | อ่านว่า | สับ-ปะ-หงก |
4. คำสนธิ
การสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเชื่อม อักษรให้ต่อเนื่องกันเพื่อตัดอักษรให้น้อยลง ทำให้คำพูดสละสลวย นำไปใช้ประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์
คำสนธิ เกิดจากการเชื่อมคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าคำที่นำมาเชื่อมกัน ไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ไม่ถือว่าเป็นสนธิ เช่น กระยาหาร มาจากคำ กระยา + อาหาร ไม่ใช่สนธิ เพราะ กระยาเป็นคำไทยและถึงแม้ว่าคำที่นำมารวมกันแต่ไม่ได้เชื่อมกัน เป็นเพียงประสมคำเท่านั้น ก็ไม่ถือว่าสนธิ เช่น
ทิชาชาติ | มาจาก | ทีชา + ชาติ |
ทัศนาจร | มาจาก | ทัศนา + จร |
วิทยาศาสตร์ | มาจาก | วิทยา + ศาสตร์ |
๑. สระสนธิ
๒. พยัญชนะสนธิ
๓. นิคหิตสนธิ
สำหรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ
แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาไทย
๑.สระสนธิ
การสนธิสระทำได้ ๓ วิธี คือ
๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้าย แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น
๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายของคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแต่เปลี่ยนรูป อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอย่างเช่น
เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา
เปลี่ยนรูป อิ เป็น เอ
เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรือ โอ
๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้า อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว แล้วใช้สระ พยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น
เปลี่ยน อิ อี เป็น ย
เปลี่ยน อุ อู เป็น ว
๑.สระสนธิ
การสนธิสระทำได้ ๓ วิธี คือ
๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้าย แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น
มหา | สนธิกับ | อรรณพ | เป็น | มหรรณพ |
นร | สนธิกับ | อินทร์ | เป็น | นรินทร์ |
ปรมะ | สนธิกับ | อินทร์ | เป็น | ปรมินทร์ |
รัตนะ | สนธิกับ | อาภรณ์ | เป็น | รัตนาภรณ์ |
วชิร | สนธิกับ | อาวุธ | เป็น | วชิราวุธ |
ฤทธิ | สนธิกับ | อานุภาพ | เป็น | ฤทธานุภาพ |
มกร | สนธิกับ | อาคม | เป็น | มกราคม |
เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา
เทศ | สนธิกับ | อภิบาล | เป็น | เทศาภิบาล |
ราช | สนธิกับ | อธิราช | เป็น | ราชาธิราช |
ประชา | สนธิกับ | อธิปไตย | เป็น | ประชาธิปไตย |
จุฬา | สนธิกับ | อลงกรณ์ | เป็น | จุฬาลงกรณ์ |
นร | สนธิกับ | อิศวร | เป็น | นเรศวร |
ปรม | สนธิกับ | อินทร์ | เป็น | ปรเมนทร์ |
คช | สนธิกับ | อินทร์ | เป็น | คเชนทร์ |
ราช | สนธิกับ | อุปถัมภ์ | เป็น | ราชูปถัมภ์ |
สาธารณะ | สนธิกับ | อุปโภค | เป็น | สาธารณูปโภค |
วิเทศ | สนธิกับ | อุบาย | เป็น | วิเทโศบาย |
สุข | สนธิกับ | อุทัย | เป็น | สุโขทัย |
นย | สนธิกับ | อุบาย | เป็น | นโยบาย |
เปลี่ยน อิ อี เป็น ย
มติ | สนธิกับ | อธิบาย | เป็น | มัตยาธิบาย |
รังสี | สนธิกับ | โอภาส | เป็น | รังสโยภาส, รังสิโยภาส |
สามัคคี | สนธิกับ | อาจารย์ | เป็น | สามัคยาจารย์ |
สินธุ | สนธิกับ | อานนท์ | เป็น | สินธวานนท์ |
จักษุ | สนธิกับ | อาพาธ | เป็น | จักษวาพาธ |
ธนู | สนธิกับ | อาคม | เป็น | ธันวาคม |
ข้อ
|
มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
|
||||||||||||||||||||
ท1.1
|
ท2.1
|
ท3.1
|
ท4.1
|
ท5.1
|
|||||||||||||||||
1
|
2
|
4
|
8
|
2
|
4
|
5
|
7
|
8
|
3
|
6
|
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
|
1
|
2
|
3
|
4
|
|
1
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
2
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
3
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
4
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
5
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
6
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
7
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
8
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
9
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
10
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
11
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
12
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
13
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
14
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
15
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
16
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
17
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
18
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
19
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
20
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
21
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
22
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
23
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ü
|
|
|
ü
|
- พยัญชนะในข้อใดไม่เป็นเสียงเดียวกัน
ก. ข, ค, ฆ ข. ท, ธ, ฒ
ค.
น, ร, ล ง. ซ, ศ, ษ, ส
2. พยัญชนะในข้อใดที่ผันวรรณยุกต์ได้ตรงตามรูปและเสียง
ก.
ก, จ, ฎ, บ, ป ข. ข, ฉ, ถ, ผ, ห
ค.
ช, ฐ, ต, ถ, ฮ ง. ค, ง, พ, ม, ล
3. คำในข้อใดออกเสียงต่างจากข้ออื่น
ก.
กอด ข. ลอด
ค.
สอด ง. บอด
4. คำในข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ครบ
5 เสียง
ก.
ศักดิ์ เมฆ ยักษ์ หมาย
แจ๋ว
ข.
กิน นาย โจร เงา
แจ่ม
ค.
ดาว จาก เมฆ ค้าง
เหว
ง.
หมอน นาย แม่ สุด ขวัญ
5. คำในข้อใดเป็นอักษรนำทั้ง
2 คำ
ก.
ตลาด หมี ข. ความ เปรี้ยว
ค.
เตร็ดเตร่ ตรัส ง. โมง ขโมย
6. คำในข้อใดอ่านออกเสียงต่างจากข้ออื่น
ก.
ไพรกว้าง เกลี้ยงเกลา ข. ขวักไขว่ พลับพลา
ค.
ทรุดโทรม มัทรี ง. ผลีผลาม ปลุกปล้ำ
7. “เธอเป็นคนจริงจัง จริงใจ แต่ไม่ชอบจดจำ
เพื่อนฝูงตักเตือน ก็ไม่ฟัง
จึงต้องเจ็บปวดอยู่บ่อยๆ” เนื้อความนี้มีวิธีสร้างคำด้วยวิธีใดบ้าง
ก.
มีคำซ้อน 5 คำ
คำซ้ำ 1 คำ
ข.
มีคำซ้อน 5 คำ
คำประสม 1 คำ
คำซ้ำ 1 คำ
ค.
มีคำซ้อน 6 คำ
คำซ้ำ 1 คำ
ง.
มีคำซ้อน 1 คำ
คำประสม 7 คำ
คำซ้ำ 1 คำ
8. คำในข้อใดเขียนไม่ถูกทั้ง
3 คำ
ก.
ชมพู่ พุทรา กะทัดรัด ข. สะอาด สะดวก
สับปะรด
ค. โขมย ศรีษะ เชิ๊ต ง. อนุญาต ญาติพี่น้อง หลงใหล
9. คำในข้อใดอ่านไม่ถูกต้อง
ก.
มรรยาท อ่านว่า มัน – ยาด
ข.
ภรรยา อ่านว่า พัน – ระ – ยา
ค.
บรรพชา อ่านว่า บัน – พะ – ชา
ง.
ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ – หวัด –
ติ – สาด
จงอ่านบทประพันธ์ต่อไปนี้
แล้วตอบคำถามข้อ 10 – 14
“ความเอ๋ยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น
ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย”
10. ข้อใดเป็นคำนามที่เป็นอาการนาม
ก.
ความรัก ข. หัวใจ
ค.
สมอง ง. สำนวน
11. คำในข้อใด
ไม่เป็น คำสรรพนามที่ใช้ในความถาม
ก.
ไหน, ไฉน ข. ใคร, ผู้ใด
ค.
ไหน, ใคร ง. ไฉน, ผู้ใด
12. “ณ, กลาง, หว่าง, ใน” เป็นคำชนิดใด
ก.
คำกริยา ข. คำวิเศษณ์
ค.
คำสันธาน ง. คำบุพบท
13. คำว่า
“หรือ” ในบทประพันธ์นี้เป็นคำชนิดใด
ก.
คำสรรพนาม ข. คำวิเศษณ์
ค.
คำบุพบท ง. คำสันธาน
14. คำในข้อใดมิใช่กลุ่มคำ
ก.
รักษ์ป่า รักษ์น้ำ รักษ์ธรรมชาติ ข. วันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ค.
ความซื่อสัตย์ คุณสมบัติของเด็กไทย ง. มหันตภัยยาเสพติด
15. เนื้อความในข้อใดมีลักษณะเป็นเนื้อความเดียว
ก.
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ข. วันพระไม่มีหนเดียว
ค.
ปล่อยนกปล่อยกา ง. เข้าหูซ้าย
ทะลุหูขวา
16. มะระขี้นกเป็นผักพื้นบ้าน
และมีคุณค่าทางอาหาร
คำในข้อใดทำหน้าที่เป็นภาคประธาน
ก.
ผักพื้นบ้าน ข. คุณค่า
ค.
มะระขี้นก ง. อาหาร
17. การพูดในข้อใดเป็นการพูดเชิงสร้างสรรค์
ก. พลอยบอกพิณว่า
“เธอใส่กางเกงตัวนี้แล้วดูอ้วนมาก”
ข. เพชรแนะนำพรว่า
“ถ้าเธอตั้งใจเรียน คะแนนสอบของเธอจะดีขึ้น”
ค. พลพูดว่า “คนดีมีแต่โดนเอาเปรียบ”
ง. พงศ์สั่งนักเรียนว่า
“ห้ามส่งเสียงดังในห้องเรียน”
18.
“ชาวนาชอบใช้ควายเหล็กไถนาแทนควายจริง”
ประโยคข้างต้นสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาเขียนได้ว่าอย่างไร
ก. ชาวนาชอบใช้กระบือเหล็กไถนาแทนกระบือจริง
ข. ชาวนามักจะใช้รถไถนาไถนาแทนควาย
ค. ชาวนามักจะใช้รถไถนาไถนาแทนกระบือ
ง. ชาวนาชอบใช้รถไถนาแทนควายจริง
19.
เนื้อความในข้อใดไม่เป็นประโยค
ก.
หัวเรือใหญ่ ข. เข็นครกขึ้นเขา
ค.
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ง. หมองูตายเพราะงู
20.
ข้อใดเป็นลักษณะของการทำโครงงาน
ก. เป็นการเขียนบันทึกผลการค้นคว้าจากตำราเพียงอย่างเดียว
ข. เป็นการศึกษาค้นคว้าโดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ค. เป็นการศึกษาค้นคว้าโดยผู้ทำโครงงานเพียงคนเดียว
ง. เป็นการศึกษาค้นคว้าเพียงในตำรา
ไม่ต้องลงมือปฏิบัติ
21.
คำในข้อใดมีความหมายต่างจากข้ออื่น
ก. ศศิธร ข. จันทร
ค. แข ง. ดารา
22.
“รร” ในข้อใดอ่านออกเสียง “อัน”
ก.
ทรงธรรม ข. สรรหา
ค.
ศตวรรษ ง. จักรพรรดิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น